Samsung กับ Apple จัดว่าเป็นคู่แข่งทางเทคโนโลยีที่ถือได้ว่าเป็นอมตะตลอดกาล เพราะตั้งแต่ตลาดสมาร์ทโฟนเริ่มบูม เราก็ได้เห็นสองค่ายนี้ออกผลิตภัณฑ์มาฟาดฟันอยู่ตลอดเวลา แม้ว่า Apple จะมีข้อได้เปรียบที่ซอฟต์แวร์กับฮาร์ดแวร์ทำงานร่วมกันอย่างสนิทเนียน Samsung ก็มีผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดให้ได้เลือก จึงไม่แปลกที่ผลการประเมินจาก IDC จะพบว่า Samsung คือผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน ด้วยยอดส่วนแบ่งตลาดกว่าร้อยละ 25 ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
ขณะที่ยอดขาย iPhone กลับไม่สู้ดีนัก เพราะจากรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสสามของปีงบประมาณ 2016 ของ Apple ระบุว่า ยอดขาย iPhone ทั่วโลกอยู่ที่ราว 40 ล้านหน่วย ซึ่งน้อยลงกว่าร้อยละ 14.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 47.5 ล้านหน่วย ส่งผลให้มีรายรับลดลงร้อยละ 23.6 ตัวเลขที่ลดลงดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับบรรดานักลงทุนอย่างมากว่า iPhone ได้มาถึงจุดสูงสุดของมันแล้ว
ตรงกันข้ามกับคู่ปรับอย่าง Samsung ที่มีผลประกอบการน่าประทับใจ โดยไตรมาสล่าสุดพบว่า บริษัทมีรายรับมากถึง 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่มีผลกำไรมากถึง 7,200 ล้านเหรียญ มากกว่าเดิมถึงร้อยละ 18 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ แผนกอุปกรณ์พกพาของบริษัทสามารถทำรายรับและผลกำไรได้มากกว่าครึ่งของตัวเลขดังกล่าว โดยบริษัทได้ชี้ให้เห็นถึงยอดขาย Galaxy S7 และ S7 Edge ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีส่วนไม่มากก็น้อยในการเพิ่มตัวเลขเงินได้ของบริษัท
ทิศทางของ iPhone
มีผู้วิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ยอดขาย iPhone ตกต่ำลงนั้นมาจากยอดขายในประเทศจีนที่น่าผิดหวัง บทความจากเว็บไซต์ Forbes ระบุว่า ยอดขาย iPhone ในประเทศจีนลดลงกว่าร้อยละ 26 ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลจีนยังได้บล็อกเนื้อหาใน iBooks และ iTunes Movies เพื่อให้สอดรับกับกฎหมายใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งมีเนื้อหาห้ามมิให้บริษัทต่างชาติเผยแพร่สื่อออนไลน์ในประเทศจีน ทำให้ Carl Icahn นักลงทุนรายใหญ่ประกาศขายหุ้น Apple ที่ถืออยู่ทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลจีนอาจทำให้ Apple ขายสินค้าได้ยากขึ้น
ฉบับที่ 213 เดือนกันยายนLife of Angel & Venture Capital เส้นทางที่ไกลกว่าเงินทุน |
นอกจากนี้ สินค้าแบรนด์จีนเองก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ Lenovo และ Huawei ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพและมีราคาขายที่ไม่แพง ทำให้ผู้บริโภคระดับกลางสามารถหาซื้อเป็นเจ้าของได้โดยไม่ลำบาก ส่วนแบรนด์ที่น่าจะเคยได้ยินอย่าง Xiaomi ก็ทยอยออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เปิดตัว Mi VR Play แว่น Virtual Reality ที่ทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนขนาด 4.7-5.7 นิ้ว และมีราคาขายเพียง 0.15 เหรียญสหรัฐ (ราว 5 บาท) เท่านั้น
นอกจากประเด็นดังกล่าว ก็ได้มีผู้วิเคราะห์อีกเช่นกันว่า iPhone รุ่นใหม่ๆ ขาดคุณสมบัติที่จะทำให้ผู้บริโภคร้อง “ว้าว” และอยากได้เป็นเจ้าของ เพราะนับตั้งแต่ iPhone 6 เป็นต้นมา รุ่นหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีคุณสมบัติที่หวือหวาพอที่จะเรียกความสนใจได้เลย ถึงแม้ว่าจะมีการอัพเกรดฮาร์ดแวร์ภายในให้มีประสิทธิภาพ และพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ทำงานอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้นแล้ว ก็ดูเหมือนว่า iPhone จะขาดมนตราที่พร้อมจะเสกให้ผู้บริโภคลุ่มหลงไปเสียแล้ว
หลายท่านอาจมีความเห็นว่า iPhone 6S ที่ออกมานั้นเป็นไปตามรูปแบบการวางจำหน่ายเดิมเหมือนที่แล้วมา โดยโมเดลใหญ่ที่มีแต่ตัวเลข (iPhone 5, 6) คือ การเปลี่ยนแปลงทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและฮาร์ดแวร์ภายใน ส่วนรุ่นที่มี S ต่อท้าย (iPhone 5S, 6S) คือการเปลี่ยนเฉพาะฮาร์ดแวร์ แต่รูปลักษณ์ภายนอกยังเหมือนเดิม หมุนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ข่าวล่าสุดกลับออกมาว่า iPhone รุ่นใหม่ที่จะออกมาในปีนี้ (ต่อไปนี้ขอเรียกว่า iPhone 7) จะยังคงรูปลักษณ์ไว้เช่นเดียวกับ iPhone 6S ทั้งเวอร์ชั่นธรรมดาและ Plus แต่มีสิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ช่องเสียบหูฟังที่จะไม่มีอีกต่อไป ส่งผลให้ตัวเครื่องมีความบางลง
รัฐบาลจีนยังได้บล็อกเนื้อหาใน iBooks และ iTunes Movies เพื่อให้สอดรับกับกฎหมายใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งมีเนื้อหาห้ามมิให้บริษัทต่างชาติเผยแพร่สื่อออนไลน์ในประเทศจีน อาจทำให้ Apple ขายสินค้าได้ยากขึ้น
หลายคนอาจแย้งอีกเช่นกันว่า รูปลักษณ์ภายนอกแต่เพียงอย่างเดียวไม่อาจใช้เป็นเครื่องมือตัดสินได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะทำยอดขายได้ดีหรือไม่ ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ต้องไม่ลืมว่าในห้วงยามที่สมาร์ทโฟนราคาประหยัดมีประสิทธิภาพมากขึ้นและพร้อมที่จะท้าชนโมเดลเรือธงนั้น ผู้ผลิตหลายรายต่างก็พยายามสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของตนให้เป็นที่ต้องตาผู้บริโภค รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูโดดเด่นจึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะเป็นตัวช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าตัวนั้นหรือไม่ เพราะฉะนั้น Apple ที่เดิมยึดหลักมินิมัลในการออกแบบสินค้าก็อาจจะต้องคิดหา “ตัวช่วย” ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองเด่นขึ้นมา ซึ่งการออกแบบบอดี้ให้แตกต่างจากรุ่นที่ผ่านมาก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคมากขึ้น
Samsung ดาวที่กลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง
ในทางกลับกัน Samsung ซึ่งเมื่อสองสามปีก่อน ตกเป็นข่าวบ่อยครั้งในประเด็นยอดขายสมาร์ทโฟนที่ตกลงเนื่องจากเจอคู่แข่งจากจีน แต่ในระยะหลังนี้กลับมาเรียกความสนใจได้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดตัว Galaxy S7/S7 Edge ที่ได้รับเสียงรีวิวในแง่บวกอย่างล้นหลาม พร้อมกันนี้ ก็ยังได้มีการผลักดันให้ Gear VR แว่น VR ของค่าย ให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่ Samsung กล้าลงมาเล่นกับเทคโนโลยีใหม่ขณะที่ยังไม่สมบูรณ์นั้น แม้ว่าอาจส่งผลต่อผลกำไรในระยะเริ่มต้น แต่ก็อาจสร้างชื่อให้กับค่ายนี้ในฐานะผู้เบิกทางนวัตกรรมและฝังชื่อไว้ในหัวของผู้คน อันจะช่วยให้เกิด Brand Awareness เมื่อผู้บริโภคนึกถึงผลิตภัณฑ์ VR ในอนาคต
นอกจากนี้ อนาคตของ Samsung ทำท่าจะสดใสมากขึ้นเมื่อพบว่าบริษัทก็เป็นหนึ่งในผู้ผลิตหน้าจอรายใหญ่ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะจอภาพชนิด OLED (Organic Light-Emitting Diodes) ซึ่งสามารถให้สีสันสวยงามและมีความยืดหยุ่นมากพอจะบิดให้โค้งงอได้ดังที่เห็นใน Galaxy S7 Edge ทำให้สร้างความแปลกแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ Samsung อาจมีผลกำไรมากขึ้นไปอีกเมื่อได้มีการวิเคราะห์ว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลายรายมีแผนจะเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในอนาคต โดยเฉพาะ Apple ที่ได้มีนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley คาดว่าเราจะได้เห็น iPhone ใช้เทคโนโลยีจอภาพดังกล่าวในปี 2017
Samsung ที่เมื่อก่อนถูกมองว่าเป็นผู้ตาม Apple ในทุกฝีเก้า แต่มาบัดนี้ได้กลายเป็นผู้นำในการกระโจนสู่ตลาดใหม่อย่าง VR และการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนอย่างต่อเนื่อง อาทิ OLED ซึ่งช่วยสร้างความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ให้กับสินค้า
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่แม้ว่าจะเจอคู่แข่งจากประเทศจีน แต่บริษัทก็ยังสามารถมีผลกำไรได้อยู่ การที่เป็นเจ้าตลาดผู้พัฒนาจอภาพและชิปหน่วยความจำรายใหญ่ได้ทำให้บริษัทสามารถชดเชยผลกำไรให้กับภาคธุรกิจอื่นที่อาจถูกกินส่วนแบ่งตลาดไปได้บ้าง และก็อย่างที่ทราบกันดีว่าสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนนั้นมักมียอดขายในประเทศตัวเองดี แต่หากก้าวเข้าสู่ตลาดนานาชาติแล้ว ก็เชื่อว่าชื่อของ Samsung ก็ยังคงกินขาดวันยังค่ำ
สรุป
การที่ Apple ค่อนข้างเงียบในช่วงนี้ สร้างความวิตกให้กับนักวิเคราะห์ไม่น้อยว่าบริษัทอาจตีบตันทางความคิดเสียแล้ว เพราะที่ผ่านมาไม่ได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาเรียกเสียงฮือฮาเหมือนแต่ก่อน ส่วน iPhone รุ่นใหม่ๆ ก็ดูแล้วไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นแรงจูงใจมากพอจะให้ลูกค้าเปลี่ยนเครื่อง ดังจะเห็นได้จากยอดขายที่ตกลงในทุกไตรมาส
ตรงกันข้ามกับ Samsung ที่เมื่อก่อนถูกมองว่าเป็นผู้ตาม Apple ในทุกฝีเก้า แต่มาบัดนี้ได้กลายเป็นผู้นำในการกระโจนสู่ตลาดใหม่อย่าง VR และการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนอย่างต่อเนื่อง อาทิ OLED ซึ่งช่วยสร้างความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ให้กับสินค้า ดังเห็นได้จากผลตอบรับที่ไปในทางบวกอย่างล้นหลาม
Apple มักยึดถือคติว่า “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” เพราะบริษัทไม่รีบร้อนนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ แต่จะค่อยๆ ขัดเกลาให้สมบูรณ์และทดสอบให้แน่นอนก่อนนำไปเป็นคุณสมบัติหนึ่งของผลิตภัณฑ์ ซึ่งก็ได้ผลในแง่ที่ผู้บริโภคมีความพึงพอใจอย่างสูง
แต่ก็อย่าช้าเกินจนคนไม่รอก็แล้วกันครับ สมัยนี้ยิ่งใจร้อนๆ กันอยู่
[efspanel style=”” type=””]
[efspanel-header]
Contributor
[/efspanel-header]
[efspanel-content]
falcon_mach_v
สรนาถ รัตนโรจน์มงคล
จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รหัส 48 และปริญญาโทจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รหัส 55 ปัจจุบันประกอบอาชีพที่ไม่เกี่ยวกับด้านไอที แต่ด้วยความชอบจึงได้มีงานเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้เสมอ สามารถติดตามอ่านได้ที่ www.bitwiredblog.com และชมเว็บไซต์ผลงานภาพถ่ายได้ที่ http://iviewphoto.me
Facebook: sorranart
Website: ontechz.blogspot.com
[/efspanel-content]
[/efspanel]